เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมด้วยสัจธรรมไง
เวลาหลวงตาท่านสอน ท่านเทศน์สดๆ ร้อนๆ เราฟังสดๆ ร้อนๆ ไม่ได้เทศน์ให้กระดาษฟัง เอาไปพิมพ์ เอาไปต่างๆ ไปเป็นกระดาษทั้งนั้นน่ะ ท่านว่าเอาให้กระดาษฟัง เวลาศึกษาในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกมันทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ การจดจารึก การจดจารึกไว้ การเก็บไว้มันเป็นเอกสารต่อเนื่องกันไป แต่เอกสารก็เป็นเอกสารไง
แต่ถ้าหัวใจของเรา ถ้ามันฟังธรรมๆ วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ วันพระวันที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะแสวงหาบุญกุศลของเรา ถ้าแสวงหาบุญกุศลของเรา มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นวิทยาศาสตร์ นี่ผลของวัฏฏะ
ผลของวัฏฏะคือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำคุณงามความดีของเรา การเสียสละ การเสียสละ การทำบุญกุศลของเรามันให้ชีวิตกับคนอื่น เวลาให้ชีวิตกับคนอื่น คนตกทุกข์ได้ยาก เขาเสียสละกันเพื่อความเป็นอยู่ของเขา
แต่นี่วัด วัดเป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีล ผู้ที่มีความซื่อสัตย์มีความสุจริตในใจของตน ถ้ามีความสัตย์มีความสุจริตในใจของตน เขาไม่ฝ่าไม่ฝืนไง ไม่ฝ่าไม่ฝืนธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฝ่าฝืนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอบอุ่น ศีลเป็นรั้วเป็นรอบ รั้วรอบขอบชิดให้หัวใจมันไม่ดิ้นรนจนเกินไปนัก ไม่ให้หัวใจมันดิ้นรนจนเกินไปนัก ถ้ามันไม่ดิ้นรนจนเกินไปนัก มันก็คือมันดิ้นรนไง
ถ้ามันดิ้นรน ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เราทำความสงบของใจเข้ามาเรามีบ้าน มีรั้ว มีบ้าน ถ้ามีบ้านของเรา ใครทำความสงบของใจเข้ามา ใครทำสัมมาสมาธิเหมือนมันมีที่อยู่ที่อาศัย ไม่ใช่คนเร่ร่อน จิตใจมันมีบ้านมีเรือนของมัน ที่อยู่อาศัย
ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น ปัญญาสุตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติกัน
สุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน การฟังก็เป็นสุตมยปัญญา แต่ถ้าหัวใจของคนที่มันเบิกบาน หัวใจของคนที่มันตื่นตัวของมัน มีสิ่งใดเข้าไปสัมผัสมัน มันสร้างสมตัวมันเองได้
หน่อของพุทธะๆ
เราทำไร่ไถนาต้องมีกล้า ถ้ามีกล้าขึ้นมา เราปลูกกล้า เวลานาหว่าน นาดำ เขารักษาหน่อ รักษากล้าให้มันเป็นลำต้นขึ้นมา เวลามันออกรวงมาเป็นข้าว รดที่โคน ผลออกที่ปลาย นี่ก็เหมือนกัน เราทำประพฤติปฏิบัติของเรา เราขวนขวายของเรานะ
เวลาอยู่ทางโลก เวลาอยู่ทางโลก เรื่องของโลกๆ เรื่องของโลกเขาใช้สติปัญญาเหมือนกัน แต่สติปัญญาของโลก เพราะเราเกิดมากับโลก เวลาเราเกิดมากับโลก นักวิทยาศาสตร์เขาพยายามพัฒนาของเขาเพื่อคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตนะ ใครคิดสิ่งใดได้ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ไอ้คนคิดได้มันหุงข้าวแทนคนทั้งโลกเลย
คนคิดคนเดียว แต่คนใช้ทั่วโลก นี่ไง แต่คนใช้ทั่วโลกนั่นเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ คนที่คิดแล้วเขามีสิทธิของเขา เป็นประโยชน์ของเขา นั่นประโยชน์ของเขา แต่คนได้ใช้ทั่วโลก เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาเป็นผู้สั่งสอนสามโลกธาตุ ตั้งแต่พรหม ตั้งแต่พรหม วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์นรกสวรรค์ไม่ได้ ถ้าพิสูจน์นรกสวรรค์ไม่ได้ก็เลยไม่เชื่อ
ไม่เชื่อก็ส่วนไม่เชื่อไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
คนมันมาจากไหน ถ้าอย่างนั้นธรรมะมันตอบโจทย์เรื่องชีวิตไม่ได้ไง ทำไมคนคิดไม่เหมือนกัน ทำไมคนมันแตกต่างกัน คนคนเดียวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คนคนเดียว คนเป็นคนดีมากๆ เลย เวลามันไปคบเพื่อน เพื่อนพาเสีย เสียเลย คนคนเดียวทั้งดีทั้งร้าย มันเป็นอยู่ในคนคนเดียว เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนไง มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว มนุษย์คนเดียวนั่นแหละ เป็นทั้งสัตว์เดรัจฉาน เป็นทั้งเทวดา เป็นทั้งเปรต เป็นหมดเลย เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะกิเลส
เวลากิเลสมันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของคนนะ เวลามันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของคน ทำลายตนเองก่อน ถ้ามันไม่ทำลายตนเองก่อน มันไม่ทำลายคนอื่นหรอก
เวลามันคิดชั่วคิดร้ายมันทำลายตัวมันเองทั้งสิ้น แล้วเราก็ไม่รู้ว่าทำลายตัวเองนะ เพราะคนที่จิตใจมันคิดทำลายเขา มันคิดก่อน พอมันคิดก่อน มันทำลายตัวมันเอง มันไม่รู้ตัวว่ามันทำลายตัวมันเอง
มันต้องชนะตนมันถึงจะชนะคนอื่นได้ ถ้ามันชนะตนไม่ได้ ชนะตนไม่ได้ ถ้าชนะตนไม่ได้มันจะไปชนะคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามันแพ้ มันพ่ายแพ้มาตั้งแต่ต้น กิเลสเหยียบย่ำทำลายมันมาตั้งแต่ต้น แล้วมันก็ซุกไว้ในใจนั่นน่ะ แล้วพฤติกรรมมันทำอย่างนั้นออกไป
แต่เวลาคนที่เขาเป็นสัจจะเป็นความจริง เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด ความคิดเปรียบเหมือนกับท่อนซุง
ความคิดมันจะเกิด เรารู้หมดน่ะ มันเหมือนท่อนซุงเลย ท่อนซุงมันหนักขนาดไหน กว่าเราจะคิด ท่อนซุงมันหนักขนาดไหน เวลาเราแบกหาม คนเรามันต้องรู้สึกตัวใช่ไหม เพราะเราต้องออกกำลัง จิตก็เหมือนกัน เวลามันคิด มันคิดขึ้นมาอย่างกับท่อนซุงน่ะ ถ้าสติมันพร้อม เห็นไหม
ถ้าคนที่มันทำลายตัวมันเอง คิดยังไม่รู้ว่าคิด มันไม่รู้ว่ามันคิดหรอก มันคิดว่าความคิดเป็นเรา เราพอใจเราจะกระทำ เราทำแล้วมันเป็นประโยชน์ของเราๆ
หลวงตาท่านสอนไง ไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนเอง
ไปกว้านเอาบาปเอากรรมมาทำลายตนทั้งสิ้น ความไปกว้านเอาบาปเอากรรมมาทำลายเรา ยังไม่รู้ตัวนะน่ะ ยังคิดว่าตัวเองทำดีๆ อยู่นะ เพราะอะไร เพราะผลประโยชน์ของกิเลสไง กิเลสมันจะเหยียบย่ำทำลายไง
ถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม วันพระ เวลาวันพระ วันโกนนี่นะ ชาวพุทธเราไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่ออะไร เพื่อฟังธรรมๆ ไง
เวลาฟังธรรมขึ้นมาเป็นประเพณีวัฒนธรรม เวลาพระเทศน์ก็นั่งสัปหงกโงกง่วงเลย พอพระเอวัง โอ๋ย! ตาตื่นเลย อู้ฮู! ได้บุญเยอะ นี่ไง มันเป็นความเชื่อ เป็นประเพณีวัฒนธรรม
แต่ถ้าเป็นความจริง ฟังธรรมๆ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำมัน จริงไหม ใช่หรือเปล่า
เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์เรื่องมุตโตทัยๆ มุตโตทัยก็หัวใจไง พูดเรื่องเรานี่ไง ของของเราทั้งนั้นน่ะ จิตก็ของเรา หาไม่เจอ ทำสมาธิไม่เป็น ความคิดก็ความคิดของเราๆๆ กิเลสก็เป็นเรา เราเป็นกิเลส กิเลสเป็นเรา ทำอะไรไม่ได้เลย
มันสะเทือนกิเลส มันสะเทือนสิทธิของเราไง สิทธิเสรีภาพ ต้องมีความเสมอภาค เสมอภาคตรงไหน เสมอภาคอะไร นี่ความเสมอภาคไง
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มักน้อยสันโดษ อ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนไง การอ่อนน้อมถ่อมตนมันจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เราอ่อนน้อมถ่อมตนของเรา เราเปิดหูของเรา เราต้องการสัจจะความจริงของเรา
สิ่งที่เราคิดไม่ได้ ถ้ามันมีสิ่งใดกระเทือนใจ มันคิดของมันได้ไง ถ้ามันคิดของมันได้ มันจะฝึกหัดในหัวใจของเราไง นี่ปัญญาจากข้างนอกทั้งนั้นน่ะ
สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการศึกษา ปัญญาจากการกระทำ แล้วโลกจะเจริญด้วยปัญญา ต้องมีการศึกษาแน่นอน แต่ศึกษาแล้วศึกษาเพื่อโลกไง ถ้าคนเป็นคนดีนะ ศึกษาแล้วมีวิชาการที่ดีนะ มันทำเพื่อประโยชน์กับโลกนะ โอ๋ย! คนดีมากๆ เลย
ถ้ามีปัญญาขึ้นมา ถ้าเป็นคนโกงนะ มันโกงหมดประเทศ โกงหมดโลกเลย เขาถึงว่าเอาคนดีก่อนไง แล้วขยันหมั่นเพียร คนมีสติปัญญาฝึกหัดได้
โดยธาตุของมัน ถ้ามันเป็นความดีของมัน ความดีของมัน ดูสิ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ องสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านสร้างของท่านมาๆ สร้างของท่านจนเต็มเปี่ยม
พูดทุกวันนะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบส “มีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา”
มีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา เท่ากับอาจารย์สอนได้ เก่งมาก ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะเชื่อเขานะ ศาสนาพุทธไม่มี ก็ฌานสมาบัติไง แล้วคนน่ะ คนเราไปฝึกไปหัด แล้วอาจารย์ยกย่องขนาดนั้นน่ะ หลงไหม
นี่อาจารย์เชิดชูขนาดนั้นน่ะ แต่เพราะบุญกุศลนี่ไง ๔ อสงไขย ๘ องสงไขย ๑๖ อสงไขยไง เพราะท่านสร้างสมของท่านมา จิตใจท่านมั่นคงหนักแน่น แล้วสิ่งที่เป็นสุภาพบุรุษเป็นความจริง เขายกย่องสรรเสริญ เขาเชิดชูขนาดไหน ก็เราศึกษากับเขา สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ก็ทำได้ทั้งสิ้น แล้วมันฆ่ากิเลสตรงไหนล่ะ
นี่มันต่างกันตรงนี้ไง ไอ้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เขาสิ้นกิเลสเขาแล้ว เขาทำของเขาแล้ว สมบูรณ์แบบของเขาแล้ว นี่เป็นศาสดานะ เป็นคนมีชื่อเสียงด้วยนะ เป็นคนที่คนเคารพนับถือด้วย เจ้าชายสิทธัตถะเป็นลูกศิษย์มาศึกษา ใครรู้จัก ไม่มีใครรู้จักเลย คนไม่เห็นหน้าเลย แต่ปัญญาท่านเหนือกว่า ท่านไม่เชื่อๆๆ เขายกย่องขนาดไหนไม่เชื่อ ไม่เชื่อ มาค้นคว้าเอง เวลาค้นคว้าเองค้นคว้าจากหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลเป็นรั้วรอบขอบชิด คนนะ เวลามันคิดดีคิดชั่ว คนเวลามันคิดนะ ถ้ามีสติปัญญานะ มันหอบ มันกระหาย มันรุนแรงไง ความคิดที่มันสั่นไหวหัวใจ มันคิดขึ้นมาจากใจเรา ทำไมเอ็งไม่รู้วะ
แล้วเวลามันโกรธ เวลามันหลงไป ออนไลน์โอนให้เขาๆ เขามาหลอก ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ โอนให้เขาหมดเลย มึงไปเชื่อเขาได้อย่างไรวะ เห็นไหม ถ้ามันคิดน่ะมันคิดได้ ถ้ามันคิดมีสติปัญญามันเท่าทัน
ถ้ามันคิด ถ้ามีสติปัญญามันเท่าทันความคิด ความคิดมันเกิด เกิดอย่างไร เชื่อเขาหรือ เป็นจริงหรือ กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ อนุปุพพิกถา เวลาคนเข้ามาให้เขาทำทานก่อน ให้ไปทำทานเพื่อให้จิตใจเขาเป็นสาธารณะ คนที่เสียสละได้ คนที่ฟังความเห็นของคนอื่นได้ คนที่คบบัณฑิตได้ รู้จักเสียสละ ถ้าเสียสละ หัวใจมันเปิดฟัง ถ้าไม่เสียสละ ของกูๆ ของกูก็ความคิดกู หัวใจของกู กูแน่ กูไม่ฟังมึง ไม่มีสิทธิ์หรอก
ทาน เวลาให้เสียสละทานก็ไปเกิดบนสวรรค์ พอเกิดบนสวรรค์ขึ้นมา ให้ถือเนกขัมมะ เนกขัมมะจิตใจควรแก่การงาน จิตใจควรแก่การงาน
ไอ้พวกเราจิตใจมีแต่ความสกปรกโสโครก จะฟังอริยสัจ จะไปนิพพาน
นิพพานมาจากไหน
ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีระดับของทานให้อนุปุพพิกถา สอนให้เขาเสียสละทาน เสียสละทานของเขา ให้เขาฟังเหตุฟังผล ฟังเหตุฟังผลของเขา ถ้ามันสัจจะความจริงไง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ทำคุณงามความดีน่ะ ถ้าตายจากมนุษย์ มันก็เกิดเป็นมนุษย์อย่างต่ำ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่เวลานักปฏิบัติไม่ต้องการ เพราะเทวดา อินทร์ พรหมมันต้องเสวยภพเสวยชาติระยะเวลานานมาก กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ กว่าจะปฏิบัติอีก ศาสนาไปถึงไหนแล้วไม่รู้ ถ้าคนเชื่อ
ไอ้ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร มันเป็นสิทธิ์ เรื่องของมึง ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เวลาจะประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านจะให้ปฏิบัติ ท่านวัดกันตรงนี้ไง
ความเชื่อเป็นความเชื่อนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการก็เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าเขาเป็นชาวโลก ให้เขามีศรัทธา ศรัทธาความเชื่อ แต่เวลาปฏิบัติ กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น เป็นสมาธิหรือไม่ ถ้าเป็นปัญญา ปัญญาอะไร
คนถ้าไม่เห็นความจริง น้ำกับน้ำมันมันเข้ากันไม่ได้ ปัญญาของโลกมันเจือไปด้วยสมุทัย ปัญญาของโลกที่มีสติปัญญามากน้อยขนาดไหน คนที่จะเป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ เขาต้องมีตัวตนของเขา
ความเป็นตัวตนของเขา ความคิดเกิดบนตัวตนนั้นน่ะ โลกียปัญญา ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ทำความสงบของใจเข้ามา ความคิดมันต้องดับหมด ความคิดดับหมดเพราะอะไร เพราะถ้าความคิดไม่ดับมันก็เป็นสมาธิไม่ได้ไง ถ้าสมาธิ กิเลสมันเบาบางลง มันก็เข้าสู่สมาธิไง เวลาเข้าสู่สมาธิ แล้วฝึกหัดตรงนี้ ตรงที่ว่าภาวนามยปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างไร
โลกุตตรปัญญามันเกิดขึ้น มันมีความแตกต่างกับโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากนักวิชาการ จากการศึกษา จากการค้นคว้า จากนักปราชญ์ทั้งสิ้นน่ะ โลกียปัญญาทั้งสิ้น โลกียปัญญาทั้งสิ้นเพราะมีตัวตนของเรา แล้วมันก็มีข้อมูลอยู่ในโลกนี้ พิจารณาวิเคราะห์ต่อยอดกันไปไง แล้วมันก็อยู่ในโลกนี้ไง
นี่ไง หม้อหุงข้าวไฟฟ้าไง คิดแล้วคนใช้ทั้งโลกไง แล้วคนก็พิสูจน์ตรวจสอบได้ไง แต่อาหารของใจ ใจที่มันต้องการอาหารไม่มีใครรู้ได้
ถ้ามีคนรู้ได้ เห็นไหม ถ้าวันพระ วันพระผู้ประเสริฐ พระคือหัวใจที่ประเสริฐ พระจากหัวใจ ถ้าพระเป็นผู้ประเสริฐๆ ขึ้นมา มันจะประเสริฐขึ้นมามันต้องมีภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
แล้วเกิดจากการภาวนา มันภาวนากันอย่างไร มันภาวนาอะไร แล้วภาวนาอะไร
ครูบาอาจารย์ท่านสอนไง เวลาสอนเรานะ เวลาอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้ามีศีล มีสมาธิ เราก็อ่อนน้อมถ่อมตนของเรา คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” คือมันรักษาหัวใจ รักษาสมาธินี้ไว้ เราไม่กระด้าง เราไม่โต้แย้งอะไรทั้งสิ้น เราจะรักษาหัวใจของเรา แล้วฝึกหัดค้นคว้า
หาจากที่ไหนไม่ได้หรอก พระไตรปิฎกมันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเราแน่นอน ศึกษามาอย่างไร จำมาอย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แต่ถ้าจะเป็นของเรา นี่มันจะเกิด
เวลาเกิดศีล สมาธิ เกิดปัญญาขึ้น ปัญญาเกิดจากการภาวนา นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา
ถ้าเกิดจากการภาวนา อะไรภาวนา
จิตตภาวนา จิตเป็นผู้ภาวนา จิตเป็นผู้ที่ค้นคว้า ไม่ใช่สมอง
ถ้าเป็นสมอง เป็นต่างๆ มันเป็นอดีตอนาคตทั้งสิ้น เพราะจิตอยู่นี่ เวลาคลื่นพลังงานไฟฟ้ากว่าจะไปถึงสมอง กระตุ้น กระตุ้นสมองก็คิด นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งสิ้น มันผ่านโลกหมดน่ะ
แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันเกิดจากจิต เกิดจากจิตตภาวนา เกิดภาวนามยปัญญา แล้วเกิดจากจิตนั้นเท่านั้น เกิดจากจิตที่ผู้ที่กระทำได้เท่านั้น จิตดวงอื่นก็รู้ด้วยไม่ได้ แต่เวลาคนที่ทำเสมอกันแล้วรู้ได้
การทำเสมอกัน เหตุการณ์อย่างนั้น การกระทำอย่างนั้น ขณะจิตอย่างนั้น ถ้าใครไม่เคยเห็น ใครไม่เคยเป็น พูดให้ร้อย ให้พูดอย่างไรก็พูดไม่ได้ พูดอย่างไรก็พูดไม่ถูก ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่คนที่เป็นไปแล้วนะ จะพูดให้ผิดมันก็ไม่ผิด มันต้องถูกวันยังค่ำ เพราะอะไร เพราะความรู้จริงอันนั้น ถ้าความรู้จริงอันนั้น เห็นไหม
วันนี้วันพระ วันพระถ้าเราตื่นตัว เราไม่หลับใหลไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราจะมีโอกาสขวนขวายของเรา เช่น มาวัดมาวา เราก็มาสร้างความเข้มแข็งศรัทธาความเชื่อให้มั่นคงของมันไป แล้วถ้าพอทำแล้ว สิ่งที่มั่นคงในหัวใจนี้ไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ องสงไขย ๑๖ อสงไขย ใครยกย่องสรรเสริญ ใครเชิดชู ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ มันไม่จริง
เราก็สร้างของเราขึ้นมา เวลาสร้างขึ้นมา สัจจะความจริง ที่เรามาสร้างบุญกุศลของเราให้มั่นคงของเราขึ้นมา แล้วพิสูจน์จากใจดวงนี้ ทุกข์ก็ทุกข์จากใจดวงนี้ เวลามันจะสิ้นกิเลสก็สิ้นจากใจดวงนี้ ไม่ใช่สิ้นจากใจของใครทั้งสิ้น สิ้นจากใจเรานี่แหละ ถ้าสิ้นจากใจเรา เราก็ค้นคว้าหาหัวใจของเรา จิตตภาวนา ไม่ใช่ใช้สมอง ใช้ความคิด แล้วก็โต้แย้งไง
ธมฺมสากจฺฉา การคุยธรรมะกันเป็นมงคลชีวิตนะ เป็นมงคลอย่างยิ่ง แม้แต่พุทธะ อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังคำเดียวว่าพุทธะ นอนไม่ได้เลย จะต้องไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ถ้าเราคุยกันเป็นธรรมมันเป็นสุภาพบุรุษไง เราฟังเหตุฟังผล หลวงตาท่านสอนประจำนะ เหตุและผล เหตุผลของใครที่มันหนักแน่น มันมั่นคงกว่า เราต้องฟังเหตุนั้น เราไม่ใช่หมาบ้า จะเอาชนะคะคานกันอย่างเดียว
หมาบ้าเท่านั้นมันกัดไม่เลือกหน้า แล้วกัดไม่เลือก กัดไปทำไม กัดไปว่ากูหมาบ้าเว้ย...ไร้สาระ
เราต้องฟังเหตุฟังผล ถ้าเหตุผลของเรามันอ่อนแอนะ เราก็เปลี่ยนความคิดสิ แสวงหาของเราสิ พยายามกระทำของเราสิ ให้มันเกิดขึ้นมาเป็นความจริงของเราสิ ถ้ามันเกิดขึ้นเป็นความจริงของเรา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เกิดจากจิตนั้นมีศรัทธามีความเชื่อ มีความมั่นคงแล้วค้นคว้าแสวงหา
กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อจากการกระทำนี้ จริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ พิสูจน์ตรวจสอบของเราไป มันจะเป็นผลของเรา มันจะเป็นการกระทำของเรา แล้วมันจะเป็นสันทิฏฐิโก รู้ท่ามกลางหัวใจดวงนี้ เอวัง